“ซีโมน เป็นหนึ่งในพวกฟาริสี เขาเชิญอีซาไปรับประทานอาหารกับเขา อีซาก็เข้าไปในบ้านซีโมนแล้วรับประทานอาหาร มีหญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นซึ่งเป็นคนบาป เมื่อรู้ว่าอีซากำลังรับประทานอาหารอยู่ในบ้านของซีโมน นางจึงนำขวดใส่น้ำมันหอมมายืนอยู่ข้างหลังใกล้เท้าของอีซา แล้วร้องไห้น้ำตาหยดเปียกเท้าของท่าน แล้วนางจึงเอาผมของนางเช็ดเท้าที่เปียกนั้นจนแห้ง นางเฝ้าจูบเท้า แล้วเทน้ำมันหอมชโลมเท้าของท่าน เมื่อซีโมนเห็นแล้วก็นึกในใจว่า “ถ้าท่านผู้นี้เป็นผู้นบีจริงๆ ก็น่าจะรู้ว่าผู้หญิงที่แตะต้องตัวของท่านเป็นคนบาป”
อีซาหันไปดูหญิงนั้น แล้วพูดกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงคนนี้ใช่ไหม? เมื่อเราเข้ามาในบ้านนี้ท่านไม่ได้ให้น้ำเราล้างเท้า แต่หญิงนี้กลับใช้น้ำตาของนางล้างเท้าให้เรา แล้วเอาผมเช็ดจนแห้ง ท่านไม่ได้จูบต้อนรับเรา แต่หญิงนี้ตั้งแต่เข้ามาแล้ว เฝ้าแต่จูบเท้าของเราไม่หยุดเลย ท่านไม่ได้เอาน้ำมันชโลมศีรษะให้เรา แต่หญิงนี้กลับใช้น้ำมันหอมชโลมเท้าเรา เพราะฉะนั้นเราขอบอกท่านว่า...การที่หญิงนี้แสดงความรักมากนั้นเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า นางได้รับการอภัยบาปที่มีอยู่มากนั้นจนหมดสิ้น คนที่ได้รับการอภัยมากก็รักมาก ส่วนคนที่รับการยกโทษน้อยก็ย่อมรักน้อย”
แล้วอีซากล่าวแก่หญิงนั้นว่า “บาปของเธอได้รับการยกโทษแล้ว”
คนอื่นๆ ที่นั่งรับประ ทานอยู่ด้วย ต่างคิดในใจว่า “ชายนี้เป็นใครกันนะ จึงบังอาจยกโทษบาปได้?”
แต่อีซากล่าวแก่หญิงนั้นอีกว่า “ความศรัทธาของเธอช่วยเธอแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด”
หญิงคนนี้รู้ตัวดีว่า “เป็นคนบาป” ที่ไม่ควรได้รับการยกโทษ แต่อีซายกโทษให้เพราะ “ความศรัทธา” ความศรัทธาของเธอจับต้องได้ เธอยอมใช้น้ำตาของเธอล้างเท้า ใช้ผมเช็ดเท้า ใช้น้ำมันหอมมูลค่าแสนแพงมาชโลมเท้า เพราะเธอรู้ว่า...อีซายกโทษบาปให้เธอได้
คนที่เชื่อและศรัทธาจะได้รับการยกโทษบาป ไม่ว่าบาปนั้นจะมากมายสักแค่ไหนก็ตาม
อีซา คือ อัลมาซีฮ์ ที่ยกโทษบาปได้!